20 มีนาคม 2559

พลังของหนังสือ




updated: 19 มี.ค. 2559 เวลา 22:30:30 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ Education Ideas โดย คิม จงสถิตย์วัฒนา kim@nanmeebooks.com
"ในยุคโลกาภิวัตน์ คนเราจะได้พบเจอ และติดต่อกับคนต่างวัฒนธรรม จึงควรเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ต่างจากเรา เพราะการใช้ชีวิต โดยยึดถือตนเองเป็นศูนย์กลาง อาจทำให้เกิดความขัดแย้งจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้"

คำพูดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ "รอบรู้ในศาสนาอิสลาม" โดย "Hui Su Lee" ที่ตอกย้ำความสำคัญของการสอนศาสนาที่หลากหลายในระบบการศึกษา เพื่อปลูกฝังเรื่องความใจกว้าง (Tolerance) ให้กับเด็กและเยาวชน

นิทานเรื่อง "กระต่ายไม่มีหู" ของ "Klaus Baumgart" เริ่มเรื่องว่ากระต่ายทุกตัวล้วนมีหู แต่มีกระต่ายตัวหนึ่งไม่มีหู ไม่มีใครยอมเป็นเพื่อนกับมันเลย ขนาดสุนัขจิ้งจอกยังไม่อยากกินมัน กระต่ายไม่มีหู จึงต้องอยู่คนเดียวตลอดเวลา ถึงแม้ว่าดิฉันไม่ได้เป็นกระต่าย ดิฉันยังเคยอยู่ในสภาวะแบบกระต่ายไม่มีหูเลยนะคะ สีผิวที่ต่างกัน ภาษาที่ต่างกัน ฐานะทางบ้านที่ต่างกัน ศาสนาที่ต่างกัน ล้วนเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ทุกคนจะต้องเจอ

ความขัดแย้งหลายประการเกิดขึ้นจากการตัดสินคนจากภายนอก เพราะฉะนั้น การฝึกเด็ก ๆ ให้รู้จักคิดวิเคราะห์จึงสำคัญมาก ในประเทศเกาหลี มีการทำหนังสือแนวปรัชญา กระตุ้นให้เด็ก ๆ ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิด เช่น หนังสือเรื่อง "สอนให้คิดด้วยตรรกะและปัญญา" โดย "Lim Byung Gab" ที่ตั้งประเด็นชวนคิดว่า...เราใช้อะไรมอง มนุษย์ไม่ได้มองด้วยตาเพียงอย่างเดียว

ในหนังสือมีการพูดถึงแนวคิดของ "นอร์วูด รัสเซลส์ แฮนสัน" (1924-1967) ว่า...ทุกคนไม่อาจมองเห็นสิ่งเดียวกัน เพราะการมองเห็นขึ้นอยู่กับความรู้ของแต่ละคน

ถ้านำรูปเดียวกันให้ 2 คนดู แล้วถามว่าเป็นรูปอะไร ? พวกเขาจะตอบต่างกัน เพราะทั้งคู่มีความรู้แตกต่างกัน

ขณะเดียวกัน ก็มีนักปรัชญาบางคนที่เห็นต่าง เพราะ "การสังเกตคือการใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งทุกคนมีเหมือนกัน ดังนั้น หากพูดในแง่รูปลักษณ์ภายนอกที่มองเห็นด้วยตาเพียงอย่างเดียว แต่ละคนจะอธิบายได้ตรงกัน"

ดิฉันชอบหนังสือเล่มนี้เพราะนักเขียนนำเสนอความคิดทั้งสองทาง คอยกระตุ้นให้ต้องคิดต่อว่าแล้วเรามองเห็นความคิดได้หรือเปล่า ก่อนที่จะด่วนตัดสินใจ

ในหนังสือ "ชีวิตคืออะไรนะ" โดย "Francois Vibert-Guigue" ยังบอกว่า...ทุกคนมีสิทธิ์นับถือศาสนาที่ตนชอบ หรือจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ เด็ก ๆ มักจะนับถือศาสนาเดียวกับพ่อแม่ แต่ถ้าพวกเขาอยากเลิก หรือเปลี่ยนศาสนาก็ทำได้ เสรีภาพนี้สำคัญมาก การเลือกเองกับการถูกบังคับนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

"Linda K. Wertheimer" จาก Washington Post จ่าหัวบทความว่า "โรงเรียนไม่ควรเทศ แต่ควรสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับศาสนา" บทความนี้บอกว่าการสอนเรื่องศาสนาต่าง ๆ ในโรงเรียน จะช่วยให้เด็ก ๆ สร้างความคิดเห็นแบบมีความรู้ และปลูกฝังให้พวกเขาเป็นพลเมืองของโลกที่มีสำนึกรู้ได้ ในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ จำเป็นที่ต้องคุยกันถึงวิธีการสอนศาสนาแบบ Best Practice จะพัฒนาครูอย่างไร ควรเริ่มสอนตั้งแต่เมื่อไร เราต้องเข้าใจว่า การสอนศาสนาในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องที่โอเค แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำ เพราะถึงแม้ระบบการศึกษาไม่อาจขจัดความขลาดเขลาได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดระดับได้

เรามาลองยกตัวอย่างกันนะคะ หากไม่มีการสอนเรื่องศาสนาอิสลามในโรงเรียน ข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับเหตุก่อการร้ายอย่างล้นหลามก็จะทำให้เด็ก ๆ เข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เด็ก ๆ จะรู้ไหมว่าคำว่า "อิสลาม" หมายถึงความสันติ

ดังนั้น หลักคำสอนของศาสนาจึงเน้นเรื่องความสันติ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขนั้นเอง

ในหนังสือ "โรงเรียนสร้างคนดี ตอน ฉันอยากให้เพื่อนยอมรับ" โดย "Cheon Keun-ah" บอกว่า...แม้เรากับเพื่อนจะแตกต่างกัน แต่ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ เพียงแต่มีความจริงใจให้กัน ยอมรับในตัวตน ในความสามารถของเพื่อน

อย่างไรก็ดี เด็ก ๆ ต้องตระหนักว่าโลกนี้มีความจริงที่ต้องเตรียมใจ ในหนังสือ "สอนให้คิดด้วยการรู้จักตนเองและผู้อื่น" โดย "Lee Ji Ae" มีบทหนึ่งบอกว่า...ในการดำเนินชีวิตของคนเรา บางครั้งต้องประสบกับความเศร้าที่จำเป็นต้องทำใจยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยกตัวอย่างเวลาสัตว์เลี้ยงแสนรักทรมานจากอาการป่วยเราไม่สามารถป่วยแทนมันได้ หากต้องผ่าตัด เราไม่สามารถขึ้นเตียงผ่าตัดแทนมันได้เช่นกัน ถึงแม้โลกของเราจะเปิดใจกว้างมากขึ้น ยอมรับความแตกต่างมากขึ้น เราก็ยังคงต้องเจอกับสถานการณ์ที่โหดร้ายและอยุติธรรมอยู่ดี

ก่อนจบ ดิฉันขอแบ่งปันสิ่งที่ Esteve Pujol i Pons เขียนถึง "เสรีภาพ" ในหนังสือ "20 คุณธรรมสำหรับเด็กดี"

"อริสโตเติล" กล่าวไว้ว่า...มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล รู้จักคิด จินตนาการ มีสติ รู้จักการตัดสินใจ จึงทำให้เกิดเสรีภาพที่แตกต่างกัน เมื่อแต่ละคนมีความต้องการเสรีภาพไม่เหมือนกัน ไม่ยอมรับเสรีภาพของคนอื่น อยากทำอะไรก็ทำ ก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย สิทธิ และหน้าที่กำกับไว้เพื่อไม่ให้แต่ละคนก้าวล้ำสิทธิและเสรีภาพซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่รู้ว่าเสรีภาพคืออะไร จึงทำให้เราไม่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาได้อย่างเข้าใจ...คนที่มีเสรีภาพ ต้องรู้จักคิดและตัดสินใจด้วยตัวเองว่าต้องทำอะไร

ดังนั้น เมื่อจะสอนให้เด็กเป็นคนที่มีสิทธิเสรีภาพ ก็ต้องสอนให้เขารู้จักคิด มีสายตากว้างไกล รู้จักตัดสินด้วยตัวเอง และไม่ตกเป็นทาสความคิดของคนอื่น และนี่ก็เป็นสิ่งที่ดิฉันอยากแบ่งปันกับทุกท่านว่า...หนังสือเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่จะสร้างสังคม ที่ยอมรับ และชื่นชมความแตกต่าง


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat







19 มีนาคม 2559

เจาะกลยุทธ์ธุรกิจ ขายจักรยานอย่างไรให้รุ่ง



updated: 19 มี.ค. 2559 เวลา 10:09:47 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ Smart SMEs โดย พัชร สมะลาภา ผู้บริหารสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ ธนาคารกสิกรไทย
หลาย ๆ ท่านคงชื่นชอบการปั่นจักรยาน ผมก็เช่นกันครับ การปั่นจักรยานกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย จากเดิมที่เป็นการปั่นเพื่อใช้เป็นพาหนะในชีวิตประจำวันทั่วไป อาจจะถูกมองว่าเชยด้วยซ้ำ

แต่ปัจจุบันการปั่นจักรยานกลับกลายเป็นกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมวัตถุประสงค์ในการปั่นก็เปลี่ยนไปเป็นทั้งการปั่นออกกำลังกายปั่นหนีรถติด ปั่นรักษ์โลก รวมถึงปั่นเพื่อเข้าสังคมหรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น จึงทำให้ตลาดจักรยานของไทยยังคงมาแรง ในปีนี้มีมูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 10-15 จากปีที่แล้ว และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า ทำให้การแข่งขันในธุรกิจนี้ดุเดือดตามไปด้วย

จะเห็นว่ามีธุรกิจร้านค้าจักรยานใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่ประสบความสำเร็จ คำถามก็คือผู้ประกอบการ SMEs จะบริหารร้านอย่างไรให้อยู่รอด ซึ่งผมมองว่าสิ่งสำคัญในการเปิดร้านค้าจักรยานที่ SMEs ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกก็คือ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่าต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าประเภทไหน แล้วศึกษาพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อวางแผนธุรกิจให้รับกับความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ SMEs นำไปใช้ต่อสู้ให้ธุรกิจรุ่งและอยู่รอด มีดังนี้

1.ต้องรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับสินค้าและบริการของร้าน ไม่ใช่แค่เจ้าของร้านเท่านั้น แต่พนักงานในร้านทุกคนต้องมีความรู้เกี่ยวกับจักรยานและสินค้าที่ขายเป็นอย่างดี สามารถให้ตอบคำถามหรือข้อสงสัยและคำแนะนำลูกค้าได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ลูกค้า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบหลักของธุรกิจเลยก็ว่าได้

2.ทำเลที่ตั้งกับการตัดสินใจเลือกซื้อของลูกค้า การตั้งร้านในย่านชุมชน มีคนเห็นร้านคุณเยอะ ก็ย่อมได้ลูกค้ามาก แต่ก็ต้องแลกกับค่าเช่าที่แพง พื้นที่คับแคบ และถูกรายล้อมด้วยคู่แข่งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งอาจถูกบีบให้ใช้การลดราคามาแข่งขัน ส่วนการตั้งร้านแบบ Stand Alone สามารถให้บริการแบบเฉพาะทางได้มากกว่า มีพื้นที่กว้างขวางกว่า แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้จัก จึงควรเลือกใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

3.เลือกสินค้าที่เข้ามาจำหน่ายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าซึ่งคุณต้องหาจุดยืนให้เจอว่าจะเจาะลูกค้าแบบไหนหากเจาะลูกค้าระดับบน ลูกค้าก็จะให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของร้าน สมรรถนะของจักรยาน และแบรนด์เป็นหลัก ดังนั้นสินค้าและบริการจะต้องอยู่ในระดับพรีเมี่ยม แต่หากเจาะตลาดแมส ลูกค้าจะให้ความสำคัญกับคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล และที่สำคัญต้องมีการบริหารจัดการสต๊อกที่ดีด้วย

4.ปรับปรุงร้านให้น่าสนใจสำหรับลูกค้าในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1) โลเกชั่น (ทำเล) และบรรยากาศภายในร้าน ให้เป็นระเบียบเป็นหมวดหมู่ น่าเข้าไปใช้บริการ 2) ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและสังคม เช่น การทำโปรโมชั่นเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ หรือมีสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเก่า 3) เพิ่มทางเลือกการชำระเงิน อาจมีโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิต เช่น ผ่อน 0% หรือมีส่วนลดพิเศษ 4) บริการครบวงจร เช่น จำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งพร้อมประกอบให้ รับออกแบบตามออร์เดอร์ จำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์ขับขี่ รวมถึงบริการหลังการขายอย่างการซ่อมบำรุง เป็นต้น

5.สร้างเครือข่ายพันธมิตร (Connection) พยายามเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งหรือสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ประกอบการอื่น ๆ ในแวดวงจักรยานด้วยกัน เช่น ร้านอุปกรณ์ตกแต่ง จักรยานคาเฟ่ สนามปั่นจักรยาน เมสเซนเจอร์จักรยาน เป็นต้น ใช้กลยุทธ์การตลาดในรูปแบบ Business Matching เพื่อต่อยอดธุรกิจไปด้วยกัน

6.อย่าละเลยการประชาสัมพันธ์ หากต้องการเจาะกำลังซื้อกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ เพราะก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อของสักชิ้นจะต้องมีการหาข้อมูลโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้นร้านของคุณจึงควรมีตัวตนในโลกออนไลน์ และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ รวมถึงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคอมมิวนิตี้ของกลุ่มคนรักจักรยาน เพื่อให้ลูกค้ารู้จักร้านของคุณมากขึ้น

ร้านค้าจักรยานยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจดาวรุ่งที่ยังอยู่ในกระแสความนิยม ซึ่งผู้ประกอบการต้องหมั่นเรียนรู้และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดไปให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือนับเป็นความท้าทายที่ SMEs ต้องผ่านไปให้ได้



ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ทวิตเตอร์ @prachachat








18 มีนาคม 2559

ถอดแบตเวลาใช้ ความเชื่อผิดๆ ของการใช้งานโน้ตบุ๊ก




อันที่จริงความเชื่อนี้ก็ไม่ผิดนักหากว่าโน้ตบุ๊กยังใช้แบตเตอรี่แบบนิเกิล-แคดเมียม (NiCd) อยู่ โดยแบตเตอรี่แบบนี้จะต้องถนอมการใช้งานอย่างที่ว่าจริงๆ เพราะการเชื่อมต่อแบตเตอรี่เอาไว้นานๆ โดยไม่ถอดออกให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเป็นระยะเวลานานๆ นั้นจะทำให้แบตเตอรี่เกิดการเสื่อมสภาพและใช้งานได้ไม่นานเท่าเดิม ซึ่งปัจจุบันนี้แบตเตอรี่ชนิดนิเกิล-แคดเมียมนั้นถูกรณรงค์ให้ลดการใช้งาน จากสหภาพยุโรปเพราะผลิตจากโลหะหนักแต่ยังอนุโลมให้ใช้งานได้ในอุปกรณ์ทางการ แพทย์บางชนิดได้
ซึ่งในปัจจุบันนี้แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน (Li-ion) ได้เข้ามาเป็นตัวแทนของนิเกิล-แคดเมี่ยมและได้รับความนิยมจากผู้ผลิตโน้ต บุ๊กหลากหลายค่ายเลือกนำไปติดตั้งเป็นแหล่งพลังงานของโน้ตบุ๊กในปัจจุบัน ทำให้วิธีการถนอมการใช้งานแบตเตอรี่นั้นเปลี่ยนไปจากอดีต เราไม่จำเป็นต้องถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่องเพื่อถนอมการใช้งานต่อไปเพราะ แบตเตอรี่ประเภทนี้ถ้ามีการชาร์จไฟฟ้าเพื่อรักษาประจุภายในแบตเตอรี่เอาไว้ให้คงที่จะทำให้อายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น และการถอดแบตเตอรี่ออกจากโน้ตบุ๊กนั้นจะเหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีระบบ สำรองไฟฟ้า พออะแดปเตอร์หลุดออกจากเครื่องแล้วไม่มีแบตเตอรี่เสริมเอาไว้ก็จะทำให้งาน ที่ทำเอาไว้หายไปอีกด้วย

นอกจากนี้จะมีแบตเตอรี่แบบลิเธียม-โพลิ เมอร์ (Li-Polymer) ที่ได้รับการพัฒนาต่อจากลิเธียม-ไอออนให้ปล่อยพลังงานไฟฟ้าออกมาได้ทรง ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกันระหว่างแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนและลิเธียม-โพลิเมอร์ที่มี ความจุเท่ากันแล้ว แบตเตอรี่แบบลิเธียม-โพลิเมอร์จะมีระยะเวลาใช้งานที่ยาวนานกว่า

ที่มา: group.wunjun.com/zoneitzeed/topic/511504-28


http://www.fortunetown.co.th/Trick-Trips/776-bate.html

15 มีนาคม 2559

สัตยาแห่งไมโครซอฟท์



โดย ธนา เธียรอัจฉริยะ ผอ.สถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ผมมีโอกาสดีมาก ๆ ในการร่วมเดินทางไปเยี่ยมชม Microsoft ที่สหรัฐอเมริการ่วมกับคณะของทางธนาคารไทยพาณิชย์เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นอกจากจะได้ฟังความรู้ใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยีหลาย ๆ ด้านแล้ว ความตื่นเต้นสำคัญประการหนึ่งก็คือ จะได้มีโอกาสเจอบุคคลที่ Business Insider ให้ฉายาว่า "The game changing CEO of Microsoft" Satya Nadella ซึ่งผมเดาเอาว่ามาจากสัตยาในภาษาสันสกฤต เพราะซีอีโอท่านนี้เป็นคนอินเดียโดยกำเนิด

ไมโครซอฟท์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ยังเป็นบริษัทที่เชย ๆ ดูตกยุค ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ ราคาหุ้นก็อยู่กับที่มาเป็นสิบปี ตอนที่คุณสัตยาเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอเมื่อต้นปี 2014 ไมโครซอฟท์กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดอย่าง Windows 8 ในตอนนั้นก็ล้มเหลวพอสมควร


เพียงแค่สองปีที่คุณสัตยาเข้ามากุมบังเหียน ไมโครซอฟท์กลายเป็นยักษ์ที่ตื่นขึ้นมาอย่างน่ากลัว นอกจากจะประสบความสำเร็จกับวินโดวส์ 10 แล้ว การเข้าสู่ธุรกิจ Cloud การเข้าซื้อและขยาย Skypeหรือการเข้าซื้อ Mojang (ผู้สร้าง Minecraft) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Xbox หรือ Surface และผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกที่ถูกยกย่องจากหลายสำนักให้เป็นผลิตภัณฑ์แห่งปีอย่าง HoloLens ทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างมากหลังจากสงบนิ่งมาเป็นสิบปี ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นจากหลาย ๆ ด้าน จนมีหลายคนบอกว่าไมโครซอฟท์ได้กลับมา "Cool" อีกครั้งหนึ่งแล้ว

คุณสัตยาเป็นซีอีโอคนที่สามของไมโครซอฟท์ต่อจากบิลล์ เกตส์ และสตีฟ บาลเมอร์ เป็นคนอินเดียโดยกำเนิด และอพยพมาเรียนและเข้าทำงานที่ไมโครซอฟท์ตั้งแต่ปี 1992 ตอนที่เข้าไมโครซอฟท์ใหม่ ๆ ตอนนั้นมีคนอินเดียทำงานอยู่ไมโครซอฟท์แค่สามสิบคน ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนั้น คุณสัตยาไต่เต้าจากงานเล็ก ๆ จนกลายเป็น President of the server and tools divisionก่อนจะถูกเลือกเป็นซีอีโอในที่สุด และใช้เวลาเพียงสองปีในการหันหัวเรือขององค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังจะตกยุค ให้กลายเป็นองค์กรที่คล่องแคล่วและกลับมายืนในสายตาของผู้บริโภคและนักลงทุนได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความลับของเขาอยู่ตรงไหน?...

คณะที่ไปเยี่ยมชมไมโครซอฟท์มีกำหนดที่จะเจอคุณสัตยาช่วงสั้น ๆ ในวันที่สอง แต่จากผู้บริหารหลาย ๆ คนที่เรามีโอกาสได้เจอวันแรก จะรู้สึกได้เลยว่าผู้บริหารและพนักงานที่เราเจอมีความศรัทธาและพูดถึงในตัวซีอีโออย่างตาเป็นประกาย ทุกคนพูดประโยคคล้าย ๆ กันถึง Mission ขององค์กรและเป้าหมาย และภูมิใจในความเป็นไมโครซอฟท์เป็นอย่างมาก มีคำที่ทุกคนพูดเหมือนกัน เช่น Mobile First Cloud First หรือการที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตคนทั่วโลก ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ควรจะพูดเรื่องเทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์เป็นหลักและทุกคนก็จะพูดถึงทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า คุณสัตยาเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ไมโครซอฟท์เป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบัน

ในวันที่สองที่ได้มีโอกาสพบกับคุณสัตยาคณะที่ไปด้วยกันก็เลยได้มีโอกาสซักถามถึงเรื่องราวของการเปลี่ยนไมโครซอฟท์ คุณสัตยาตัวจริงเป็นคนสุภาพ เป็นมิตรและไม่มีฟอร์มของซีอีโอระดับโลกให้เห็นเลย

คุณสัตยาเล่าด้วยว่า เคยอยู่เมืองไทยตอนเด็ก ๆ อยู่ห้าปี เพราะพ่อต้องไปทำงานที่ไทยเคยมีบ้านอยู่แถวโรงแรมเฟิร์ส ถนนเพชรบุรี ทำให้คุ้นเคยกับเมืองไทยอยู่บ้าง

หนึ่งในคณะที่ไปด้วยถามถึงวิธีการ "Turnaround" และเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กร คุณสัตยาเล่าว่า ตอนเริ่มแรกสุดนั้นเขาพยายามที่จะสร้าง Sense of Purpose ขึ้นมา หาเหตุผลว่าทำไมไมโครซอฟท์ถึงจะต้องมีอยู่ในโลก และมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในโลกได้ยังไง และพยายามให้เลิกมองคู่แข่ง เลิกอิจฉาริษยาคู่แข่ง แต่ชวนคนในองค์กรหันมาตอบคำถามว่า ทำไมโลกถึงยังต้องการไมโครซอฟท์อยู่มากกว่า

คุณสัตยาพยายามสื่อสารให้องค์กรทั้งหมดรู้ว่า ซีอีโอ "คิด" อะไรอยู่อย่างสม่ำเสมอ เขาบอกว่าพนักงานทุกคนไม่ว่าบริษัทไหนก็ตาม จะ "สนใจ" อย่างมากว่าผู้นำคิดอะไร คุณสัตยาให้ทิศทางที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ๆ ที่ทุกคนในองค์กรจะเห็นได้เหมือนกัน การอ่านเทรนด์ของโลกแล้วกำหนดเป็นคำพูดที่ง่าย ๆ แต่ทรงพลังอย่าง Mobile First Cloud First ที่เราได้ยินจากทุกคนเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน

คุณสัตยายังเล่าอีกว่าพอมี Sense of Purpose แล้ว ก็ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มาสนับสนุน Purpose นั้น ๆ คุณสัตยาเชื่อว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เป็นอะไรที่ตายตัว แต่เป็นวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา เขาบอกว่า เขาได้ไอเดียนี้จากการอ่านหนังสือจิตวิทยาเด็กของภรรยาเรื่อง Growth Mindset (หาอ่านละเอียดได้จาก Carol S.Dweck Ph.D. ซึ่งเป็นผู้เขียน)

เขาเชื่อว่าคนหรือองค์กรที่มี Growth Mindset พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เห็นความล้มเหลวเป็นการเรียนรู้ ชอบความท้าทาย มีความพยายามสูง ไม่ว่าจะแข่งกันเรียนหรือแข่งทางธุรกิจ ก็จะชนะคนที่มี Fixed Mindset ได้ตลอด แทนที่คนไมโครซอฟท์จะคิดว่าตัวเองเคยยิ่งใหญ่มาอย่างไร เขากลับสนับสนุนให้คิดว่าบทเรียนที่เราได้ในแต่ละวันคืออะไรมากกว่า

คุณสัตยาเขียนอีเมล์ฉบับแรกตอนที่เข้ารับตำแหน่งซีอีโอไว้บางส่วนว่า"Many who know me say I am also defined by my curiousity and thirst for learning. I buy more book than I can finish. I sign up for more online courses than I can complete. I fundamentally believe that if you are not learning new things, you stop doing great and useful things. So family, curiousity and hunger for knowledge all define me" เป็นทิศทางที่ซีอีโอให้คุณค่าและบอกชัดเจนตั้งแต่วันแรกของการทำงาน

คุณสัตยาทิ้งท้ายว่า การสร้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรนั้นอยู่บนพื้นฐานของโครงสร้างง่าย ๆ (Simple Architecture) ที่ทุกคนเข้าใจได้ ตั้งแต่มุมมองต่ออนาคต เป้าประสงค์ขององค์กร และความมุ่งมั่นที่ต้องชัดเจน แล้วสื่อสารซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมไหน จะไม่เปลี่ยนเนื้อหาหลัก แล้วปรับรายละเอียดต่าง ๆ ขององค์กร ตั้งแต่วิธีการทำงาน การถามคำถามในห้องประชุมจนถึงการกำหนดค่าตอบแทนให้สอดคล้องไปกับ Mission Vision ที่ตั้งไว้

คุณสัตยาพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงก่อนจากกันไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ใช่นามธรรม ทุกคนชอบคิดที่จะเปลี่ยนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยพยายามจะเปลี่ยนตัวเอง วัฒนธรรมองค์กรใหม่ของไมโครซอฟท์ที่นำพาองค์กรมาจนถึงวันนี้นั้น เกิดขึ้นจากการพยายามเปลี่ยนตัวเอง และใส่ Growth Mindset ให้กับพนักงานทุกคน

คุณสัตยาทำสำเร็จหรือไม่ ผลงานสองปีที่ผ่านมาก็คงตอบได้ แต่ที่น่าประทับใจกว่านั้นก็คือ การที่พวกเราได้พูดคุยกับชาวไมโครซอฟท์ตลอดสองวัน และรู้สึกได้ก็คือ Passion ที่ทุกคนมีต่อองค์กร ความภูมิใจที่มี และความเข้าใจถึงทิศทางและวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทที่ชัดเจน แม้กระทั่งแม่บ้านที่ดูแลเรื่องอาหารให้เราตลอดสองวันนี้ด้วย

มีใครคนหนึ่งในไมโครซอฟท์เล่าในบทสนทนาหนึ่งระหว่างการประชุมว่า"คุณจะไม่เชื่อเลยว่า ผู้นำคนหนึ่งจะมีผลกระทบต่อองค์กรได้ขนาดนี้"

เป็นโชคดีของผมที่ได้มีโอกาสแอบนั่งฟังตัวจริงเสียงจริงคนนี้

สัตยาแห่งไมโครซอฟท์

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1458016079




14 มีนาคม 2559

การตลาดออนไลน์ ใช้เป็นเห็นเงินล้าน



 การตลาดออนไลน์ มีส่วนประกอบด้วยหลายส่วนมาก แต่ทุกส่วนมีความสำคัญกันหมด ดังนั้น เราต้องศึกษาให้รู้ที่ทำเองได้ยิ่งดี ใครทำได้ดีคนนั้นก็รวย ใครที่ทำได้ห่วยก็ศึกษาเพิ่มเติม

การขายของออนไลน์ ต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง การตลาดออนไลน์

1.สินค้า

สินค้าบอกได้สั้นๆ ว่า ถ้าคำนวณทุกอย่างแล้ว กำไรเกิน 300.- ถือว่าคุ้มในการขายของออนไลน์

2.ร้านออนไลน์

ถ้าจะแนะนำได้ก็จะเป็น WordPress ที่มี Woocommerce เป็นระบบขายสินค้า หรือ ใช้ website สำหรับขายของก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ

3.ช่องทางการขาย หรือ เครื่องมือการตลาดออนไลน์

พวก Secial Media ต่างๆ Facebook Ads, Google Adwords , Blog , SEO หรือ Email Marketing นอกจากนั้นก็แยกไปตามลักษณะสินค้าหรือบริการอาจจะเพิ่ม IG Twitter หรือ Linkedin

ร้านค้าออนไลน์

WordPress คืออะไร

WordPress คือ เว็บไซต์สำเร็จรูปที่คนใช้กันมาที่สุดในโลก สามารถใช้งานได้ง่าย ทั้งหมดฟรี แต่ฟรีเฉพาะตัว WordPress ซึ่งเราต้องมีค่าใช้จ่ายคือHosting (พื้นที่เช่าบนโลกออนไลน์) และ Domain (ชื่อร้าน เช่น www.abc.com) ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ประมาณพันนิดๆ ต่อปี

เว็บไซต์ที่เป็น WordPress จะมี Plugin ที่จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Woocommerce เป็นระบบการขายสินค้าที่สามารถนำลงใน WordPress และสามารถเป็นร้านค้าออนไลน์ได้ทันที

Woocommerce สามารถทำอะไรได้บ้าง 1.ใส่สินค้า ราคา และ รายละเอียดอื่นๆ 2.ติดตั้งพื้นฐานการใช้ง่ายสำหรับร้านค้าออนไลน์ การจ่ายเงิน การข่นส่ง 3.จัดการเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า

ช่องทางการจำหน่าย หรือ เครื่องมือการตลาดออนไลน์

การทำ SEO

SEO คือ อะไร? สั้นๆ คือการทำให้เว็บไซตืเราติดหน้าแรกของการค้นหา

ผลงานวิจัยออกมาว่า คนมักจะค้นหาสินค้าก่อนซื้อดังนั้น การทำ ธุรกิจออนไลน์ ควรคิดถึง SEO ก่อนทุกครั้ง การวางโครงสร้างเว็บให้สอดคล้องกับการทำ SEO

หลายคนเข้าใจว่า ทำ SEO ยาก ตอบได้เลยว่า เราแค่ยังไม่เข้าใจ การทำงานมากกว่า เราสามารถ การทำ SEO ด้วยตัวเองได้ เพียงแค่เราต้องลองศึกษาเพิ่มเติม

ถ้าทำให้ SEO ติดหน้าแรกได้ หมายความว่า โอกาสการขายเราก็จะมากขึ้น ไปเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าในอนาคตไม่อยากเสียค่าโฆษณาอย่างเดียวเพื่อให้ขายได้ แนะนำให้เรียนรู้ในการ ทำ SEO ด้วยตัวเอง

Facebook Ads

การจะสามารถโฆษณาผ่าน Facebook ได้ ควรสร้าง Fanpage ขึ้นมาก่อน จากนั้นทำความเข้าใจวิธีการทำงานของ Facebook Ads ว่าแต่ละเครื่องมือใช้งานอย่างไร

การใช้งานแบบ Promote Like คือการสร้างฐานแฟน มีฐานแฟนมากโอกาสการซื้อยิ่งมาก

การใช้งานแบบ Boots Post คือ การสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นและกันซื้อ

การใช้งาน Click to web คือ การสร้างให้เกิดทราฟฟิก ในประเทศไทยมีข้อดี เพราะว่าสามารถไปใช้ทำ Remarketing ได้ ทำให้สร้างโอกาสการขายได้มากขึ้น (Remarketing คือ การทำให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์เรา แล้ว เวลาพวกเขาเล่น Facebook เราก็ทำโฆษณาไปปรากฏให้พวกเขาเห็นซ้ำๆ )

Google Adwords

Adwords คืออะไร มันคือโฆษณาของ Google นั้นเอง ซึ่งมันจะมีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ

1.โฆษณาแบบ Search

โฆษณาแบบคำค้นหาใช้ในกรณีที่ต้องการให้ผู้คนค้นหาสินค้าเราเจอเวลาค้นหาเราใน Google ซึ่งราคาแพงหรือ น้อยขึ้นอยู่กับหลายๆ องค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ เนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์

2.โฆษณาแบบ Display

โฆษณาแบบแสดงแบนเนอร์ เน้นการสร้าง Brand Awareness สร้างให้คนสนใจและจำเราได้ หรือ บอกโปรโมชั่นให้คนอื่นเห็น จนกลับเข้ามาซื้อ รวมทั้งการทำ Remarketing อีกด้วย

3.โฆษณาแบบ VDO

โฆษณาแบบ VDO เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2015 เราจะเห็นโฆษณาออกมาเยอะแยะมากมาย ซึ่งจุดประสงค์ของการทำ VDO ออกมา ก็จะใช้สร้างทั้ง Brand Awareness และ ให้ความรู้ สาระ เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้า

Blog

เมื่อเรามีเว็บไซต์ขายสินค้าแล้ว ยุคสมัยนี้ การขายของออนไลน์ต้องสร้างเนื้อหาให้คนเข้ามาติดตามด้วย ไม่ว่าจะเป็นบทความ การทำรีวิวสินค้า หรือ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้ามาอ่าน ก็จะเป็นการช่วยสร้างความสัมผัสให้กับลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งประกอบการสร้างเว็บไซต์ไปตามการทำ SEO ตั้งแต่แรก ก็จะทำให้ ช่วงทางการขายของออนไลน์ เรามีโอกาสขายมากขึ้น

Email Marketing

การใช้ Email ในการสร้างยอดขาย เป็นวิธีที่ห้ามลืมเด็ดขาด เพราะจากงานวิจัยยอดซื้อขายจากการ Email ไม่ได้ด่อยกว่าการทำโฆษณาเลย การใช้ Email สามารถสร้างทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ และ สร้างยอดขายได้ ถ้าจะแนะนำเครื่องมือสำหรับใช้ Email แนะนำ เป็น MailChimp ลองใช้ดูซึ่งใช้งานง่ายมาก

Google Analytics

เป็นเครื่องใช้สำหรับวัดการเติบโตของเว็บไซต์เรา ที่สำคัญ คือ มันฟรี เมื่อติด Analytics ในเว็บไซต์เราแล้ว เราก็จะสามารถนำข้อมูลที่ไหลเข้ามาเว็บไซต์เรา มาวิเคราะห์ และ หาทางพัฒนาเว็บไซต์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปอยากเห็นเงินล้านจาการขายของออนไลน์ นอกจากเลือกสินค้าให้ดีแล้ว ต้องรู้จักใช้เครื่องมือให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายด้วยก็จะทำให้ยอดขายโตวัน โตคืน แล้วเงินล้านจะไปไหน

13 มีนาคม 2559

แจกเว็บไซต์ดาวน์โหลด e-book ฟรีไม่มีกั๊ก



 เคยรู้สึกว่าการพกหนังสือนั้นหนักและไม่สะดวกหรือเปล่าตอนนี้มีตัวเลือกใหม่แล้วสำหรับคนรักการอ่านหนังสือแต่อยากมีความสะดวกในการพกพา ก็คือ e-book นั่นเอง เราสามารถหยิบมาอ่านได้เลย   ไม่ว่าจะอ่านผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊คแท็บเล็ตพีซีหรือมือถือ แบบสมาร์ทโฟนอย่าง iPhone, android หรือ Windows โฟนได้เลย แค่เรามีแอพพลิเคชั่น หรือ โปรแกรมที่สามารถเปิดไฟล์ PDF. ได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถเปิด e-book อ่านได้แล้วจ้า
 
แหล่งดาวน์โหลด


1. http://www.ebooksdownloadfree.net/





เว็ปไซด์เพื่อการศึกษาหาความรู้ รวมหนังสือน่าอ่าน พร้อมเอกสารให้ดาวน์โหลด ฟรีข้อสอบ, คู่มือเตรียมสอบ, บทความต่างๆ,คู่มือเกี่ยวกับการศึกษา, คู่มือภาษาอังกฤษ, ถ่ายภาพ, เตรียมสอบ เป็นการแชร์ข้อมูลต่างๆ เพื่อเรียนรู้ และเป็นข้อมูลสำหรับทำรายงานได้เลย

2. http://www.scimath.org/ebooks


 


หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของ สสวท.ซึ่งมีทั้งหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ หนังสือเรียนคณิตศาสตร์คู่มือครูวิทยาศาสตร์และคู่มือครูคณิตศาสตร์   เป็นสื่อที่สามารถเรียนผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ มีความสะดวกในการเชื่อมโยงจุดไปยังส่วนต่างๆ ของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ

3. http://e-book.ram.edu/e-book/



หนังสือเรียนอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงศูนย์รวมตำราเรียนหนังสือทุกเล่มบนอินเทอร์เนตหนังสือเรียนทุกเล่มนำมาให้อ่านศึกษาค้นคว้าก่อนซื้อตำรา ที่สำคัญสามารถอ่านทุกเล่มได้โดยไม่ต้องพกพาไปให้ลำบากเพราะ e-book ให้อิสระในการอ่านตำรา โดยสามารถอ่านตำราทุกเล่มได้ทุกที่ที่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

4. http://www.ebooks.in.th/free-ebooks.html




 หนังสือบนระบบของจะมีทั้งที่หนังสือที่แจกฟรี และหนังสือที่มาจากนักเขียนอิสระ หรือสำนักพิมพ์ต่างๆ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มหลักๆ ดังนี้ หนังสือทั่วไป หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แมกกาซีน การ์ตูน หนังสือภาพ หนังสือเด็ก หนังสือต่างประเทศ วิทยานิพนธ์ เอกสารทางวิชาการ โบรชัวร์ คู่มือ แผ่นผับโฆษณา

5. http://www.sufficiencyeconomy.org/ebook.html



 หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-book)โครงการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการศึกษา และเยาวชน

6. http://pdamobiz.com/forum/forum_topics.asp?FID=34





 เป็นเว็บบอร์ด สำหรับผู้ที่มีความสนใจ e-book มีบทความการศึกษา หนังสืออ่านนอกเวลา การ์ตูนฯลฯ แจกฟรีมากมาย สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ มีทั้งเทคนิคการทำหนังสือ การใช้โปรแกรมต่างๆให้ศึกษาอีกด้วย
 

7. http://thaiebookclub.blogspot.com  



ดาวน์โหลดไทย e-book หรือ ดาวน์โหลด ไทย PDF มีทั้งนวนิยาย วิทยาศาสตร์ สุขภาพ งานฝีมือ ศาสนา ฯลฯ ให้เลือกโหลดกัน หนอนหนังสือไม่ควรพลาด e-bookไทยดีดี อ่านฟรี ไม่มีกั๊ก

8. http://xn--ebook-w6q6bwmkbynse.blogspot.com




เป็นเว็บบล๊อกสำหรับดาวน์โหลด e-book น่าอ่าน แจกฟรีทั้ง นิยายไทย นิยายต่างประเทศ  ข้อสอบต่างๆ หนังสืออ่านนอกเวลา ฯลฯ อีกมากมาย

9. http://freethaibooks.blogspot.com




ฟรี ดาวน์โหลดหนังสือไทย e-book นิตยสารไทย ไม่ได้ขาย หนังสือสารคดีความรู้ หนังสือผู้ชาย นิตยสารมือถือ นิตยสารกล้อง หนังสือการ์ตูน นิตยสารคอมพิวเตอร์ นิตยสารเกมส์ การ์ตูนรายสัปดาห์  และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ตามคำเรียกร้อง เชิญเข้าไปโหลดกันได้

10. http://ebookfreehits.blogspot.com



ดาวน์โหลด E-book ฟรี ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ นวนิยาย บทความคลายเครียด ธรรมมะ ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ นิทาน สุขภาพ หนังสือทำอาหาร รวม E-book บทความต่างๆทุกประเภท ให้คุณได้โหลดฟรี


ที่มา
http://06550128-01.blogspot.com/
 
http://www.siamebook.com/lbro/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-ebook/546-isebook.html 

   
 
https://forum.eduzones.com/topic/6948