15 มีนาคม 2559

สัตยาแห่งไมโครซอฟท์



โดย ธนา เธียรอัจฉริยะ ผอ.สถาบันพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ผมมีโอกาสดีมาก ๆ ในการร่วมเดินทางไปเยี่ยมชม Microsoft ที่สหรัฐอเมริการ่วมกับคณะของทางธนาคารไทยพาณิชย์เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นอกจากจะได้ฟังความรู้ใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยีหลาย ๆ ด้านแล้ว ความตื่นเต้นสำคัญประการหนึ่งก็คือ จะได้มีโอกาสเจอบุคคลที่ Business Insider ให้ฉายาว่า "The game changing CEO of Microsoft" Satya Nadella ซึ่งผมเดาเอาว่ามาจากสัตยาในภาษาสันสกฤต เพราะซีอีโอท่านนี้เป็นคนอินเดียโดยกำเนิด

ไมโครซอฟท์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ยังเป็นบริษัทที่เชย ๆ ดูตกยุค ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ ราคาหุ้นก็อยู่กับที่มาเป็นสิบปี ตอนที่คุณสัตยาเข้ามารับตำแหน่งซีอีโอเมื่อต้นปี 2014 ไมโครซอฟท์กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดอย่าง Windows 8 ในตอนนั้นก็ล้มเหลวพอสมควร


เพียงแค่สองปีที่คุณสัตยาเข้ามากุมบังเหียน ไมโครซอฟท์กลายเป็นยักษ์ที่ตื่นขึ้นมาอย่างน่ากลัว นอกจากจะประสบความสำเร็จกับวินโดวส์ 10 แล้ว การเข้าสู่ธุรกิจ Cloud การเข้าซื้อและขยาย Skypeหรือการเข้าซื้อ Mojang (ผู้สร้าง Minecraft) รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Xbox หรือ Surface และผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกที่ถูกยกย่องจากหลายสำนักให้เป็นผลิตภัณฑ์แห่งปีอย่าง HoloLens ทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นอย่างมากหลังจากสงบนิ่งมาเป็นสิบปี ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นจากหลาย ๆ ด้าน จนมีหลายคนบอกว่าไมโครซอฟท์ได้กลับมา "Cool" อีกครั้งหนึ่งแล้ว

คุณสัตยาเป็นซีอีโอคนที่สามของไมโครซอฟท์ต่อจากบิลล์ เกตส์ และสตีฟ บาลเมอร์ เป็นคนอินเดียโดยกำเนิด และอพยพมาเรียนและเข้าทำงานที่ไมโครซอฟท์ตั้งแต่ปี 1992 ตอนที่เข้าไมโครซอฟท์ใหม่ ๆ ตอนนั้นมีคนอินเดียทำงานอยู่ไมโครซอฟท์แค่สามสิบคน ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนั้น คุณสัตยาไต่เต้าจากงานเล็ก ๆ จนกลายเป็น President of the server and tools divisionก่อนจะถูกเลือกเป็นซีอีโอในที่สุด และใช้เวลาเพียงสองปีในการหันหัวเรือขององค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังจะตกยุค ให้กลายเป็นองค์กรที่คล่องแคล่วและกลับมายืนในสายตาของผู้บริโภคและนักลงทุนได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความลับของเขาอยู่ตรงไหน?...

คณะที่ไปเยี่ยมชมไมโครซอฟท์มีกำหนดที่จะเจอคุณสัตยาช่วงสั้น ๆ ในวันที่สอง แต่จากผู้บริหารหลาย ๆ คนที่เรามีโอกาสได้เจอวันแรก จะรู้สึกได้เลยว่าผู้บริหารและพนักงานที่เราเจอมีความศรัทธาและพูดถึงในตัวซีอีโออย่างตาเป็นประกาย ทุกคนพูดประโยคคล้าย ๆ กันถึง Mission ขององค์กรและเป้าหมาย และภูมิใจในความเป็นไมโครซอฟท์เป็นอย่างมาก มีคำที่ทุกคนพูดเหมือนกัน เช่น Mobile First Cloud First หรือการที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตคนทั่วโลก ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ควรจะพูดเรื่องเทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์เป็นหลักและทุกคนก็จะพูดถึงทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า คุณสัตยาเป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ไมโครซอฟท์เป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบัน

ในวันที่สองที่ได้มีโอกาสพบกับคุณสัตยาคณะที่ไปด้วยกันก็เลยได้มีโอกาสซักถามถึงเรื่องราวของการเปลี่ยนไมโครซอฟท์ คุณสัตยาตัวจริงเป็นคนสุภาพ เป็นมิตรและไม่มีฟอร์มของซีอีโอระดับโลกให้เห็นเลย

คุณสัตยาเล่าด้วยว่า เคยอยู่เมืองไทยตอนเด็ก ๆ อยู่ห้าปี เพราะพ่อต้องไปทำงานที่ไทยเคยมีบ้านอยู่แถวโรงแรมเฟิร์ส ถนนเพชรบุรี ทำให้คุ้นเคยกับเมืองไทยอยู่บ้าง

หนึ่งในคณะที่ไปด้วยถามถึงวิธีการ "Turnaround" และเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กร คุณสัตยาเล่าว่า ตอนเริ่มแรกสุดนั้นเขาพยายามที่จะสร้าง Sense of Purpose ขึ้นมา หาเหตุผลว่าทำไมไมโครซอฟท์ถึงจะต้องมีอยู่ในโลก และมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในโลกได้ยังไง และพยายามให้เลิกมองคู่แข่ง เลิกอิจฉาริษยาคู่แข่ง แต่ชวนคนในองค์กรหันมาตอบคำถามว่า ทำไมโลกถึงยังต้องการไมโครซอฟท์อยู่มากกว่า

คุณสัตยาพยายามสื่อสารให้องค์กรทั้งหมดรู้ว่า ซีอีโอ "คิด" อะไรอยู่อย่างสม่ำเสมอ เขาบอกว่าพนักงานทุกคนไม่ว่าบริษัทไหนก็ตาม จะ "สนใจ" อย่างมากว่าผู้นำคิดอะไร คุณสัตยาให้ทิศทางที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ๆ ที่ทุกคนในองค์กรจะเห็นได้เหมือนกัน การอ่านเทรนด์ของโลกแล้วกำหนดเป็นคำพูดที่ง่าย ๆ แต่ทรงพลังอย่าง Mobile First Cloud First ที่เราได้ยินจากทุกคนเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ให้ทุกคนเดินไปในทิศทางเดียวกัน

คุณสัตยายังเล่าอีกว่าพอมี Sense of Purpose แล้ว ก็ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มาสนับสนุน Purpose นั้น ๆ คุณสัตยาเชื่อว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เป็นอะไรที่ตายตัว แต่เป็นวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลา เขาบอกว่า เขาได้ไอเดียนี้จากการอ่านหนังสือจิตวิทยาเด็กของภรรยาเรื่อง Growth Mindset (หาอ่านละเอียดได้จาก Carol S.Dweck Ph.D. ซึ่งเป็นผู้เขียน)

เขาเชื่อว่าคนหรือองค์กรที่มี Growth Mindset พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา เห็นความล้มเหลวเป็นการเรียนรู้ ชอบความท้าทาย มีความพยายามสูง ไม่ว่าจะแข่งกันเรียนหรือแข่งทางธุรกิจ ก็จะชนะคนที่มี Fixed Mindset ได้ตลอด แทนที่คนไมโครซอฟท์จะคิดว่าตัวเองเคยยิ่งใหญ่มาอย่างไร เขากลับสนับสนุนให้คิดว่าบทเรียนที่เราได้ในแต่ละวันคืออะไรมากกว่า

คุณสัตยาเขียนอีเมล์ฉบับแรกตอนที่เข้ารับตำแหน่งซีอีโอไว้บางส่วนว่า"Many who know me say I am also defined by my curiousity and thirst for learning. I buy more book than I can finish. I sign up for more online courses than I can complete. I fundamentally believe that if you are not learning new things, you stop doing great and useful things. So family, curiousity and hunger for knowledge all define me" เป็นทิศทางที่ซีอีโอให้คุณค่าและบอกชัดเจนตั้งแต่วันแรกของการทำงาน

คุณสัตยาทิ้งท้ายว่า การสร้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรนั้นอยู่บนพื้นฐานของโครงสร้างง่าย ๆ (Simple Architecture) ที่ทุกคนเข้าใจได้ ตั้งแต่มุมมองต่ออนาคต เป้าประสงค์ขององค์กร และความมุ่งมั่นที่ต้องชัดเจน แล้วสื่อสารซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมไหน จะไม่เปลี่ยนเนื้อหาหลัก แล้วปรับรายละเอียดต่าง ๆ ขององค์กร ตั้งแต่วิธีการทำงาน การถามคำถามในห้องประชุมจนถึงการกำหนดค่าตอบแทนให้สอดคล้องไปกับ Mission Vision ที่ตั้งไว้

คุณสัตยาพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงก่อนจากกันไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ใช่นามธรรม ทุกคนชอบคิดที่จะเปลี่ยนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยพยายามจะเปลี่ยนตัวเอง วัฒนธรรมองค์กรใหม่ของไมโครซอฟท์ที่นำพาองค์กรมาจนถึงวันนี้นั้น เกิดขึ้นจากการพยายามเปลี่ยนตัวเอง และใส่ Growth Mindset ให้กับพนักงานทุกคน

คุณสัตยาทำสำเร็จหรือไม่ ผลงานสองปีที่ผ่านมาก็คงตอบได้ แต่ที่น่าประทับใจกว่านั้นก็คือ การที่พวกเราได้พูดคุยกับชาวไมโครซอฟท์ตลอดสองวัน และรู้สึกได้ก็คือ Passion ที่ทุกคนมีต่อองค์กร ความภูมิใจที่มี และความเข้าใจถึงทิศทางและวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทที่ชัดเจน แม้กระทั่งแม่บ้านที่ดูแลเรื่องอาหารให้เราตลอดสองวันนี้ด้วย

มีใครคนหนึ่งในไมโครซอฟท์เล่าในบทสนทนาหนึ่งระหว่างการประชุมว่า"คุณจะไม่เชื่อเลยว่า ผู้นำคนหนึ่งจะมีผลกระทบต่อองค์กรได้ขนาดนี้"

เป็นโชคดีของผมที่ได้มีโอกาสแอบนั่งฟังตัวจริงเสียงจริงคนนี้

สัตยาแห่งไมโครซอฟท์

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1458016079




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น