ขายปลีก ขายส่งไข ปลาวาฬ ขัด ส แตน เล ส
ขายปลีก ขายส่งไข ปลาวาฬ ขัด ส แตน เล ส stainless steel
หรือที่เรียกกันว่าเหล็กกล้าไร้สนิม นั้น ในทางโลหกรรมถือว่าเป็นโลหะผสมเหล็ก ที่มีโครเมียมผสมอย่างน้อย 10.5% เนื่องจากโลหะผสมดังกล่าวไม่เป็นสนิมนั่นเอง เกิดจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง
ออกซิเจนกับโครเมียมในเนื้อโลหะสแตนเลส เกิดเป็นฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้
ทำหน้าที่ปกป้องการเกิดความเสียหายให้กับตัวเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิม ปกกันการกัดกร่อน และไม่ชำรุดหรือสึกหรอง่ายอย่างโลหะทั่วไป
สำหรับในสหรัฐอเมริกาและในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน
นิยมเรียกโลหะนี้ว่า corrosion
impenetrable steel เมื่อไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นโลหะผสมชนิดใด
และคุณภาพระดับใด แต่ในท้องตลาดเราสามารถพบเห็น เหล็กกล้าไร้สนิม "18/8"
มาจากส่วนผสม
Chromium 18% และ Nickel 8%
มากที่สุด ซึ่งเป็นการระบุถึง ธาตุที่เจือลงในในเนื้อเหล็กคือ โครเมียมและนิเกิล สแตนเลสประเภทนี้จัดเป็น Commercial Grade ใช้กันทั่วไปหาได้ง่าย ใช้ทำเครื่องใช้ทั่วไป
ซึ่งเราสามารถจำแนกประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิมได้จากเลขรหัสที่กำหนดขึ้นตาม ระบบอเมริกัน AISI (
American Iron and Steel
Institute ) ซึ่งส่วนผสมจะเป็นตัวกำหนดเกรดของเหล็กกล้าไร้สนิม
ซึ่งมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เหล็กกล้าไร้สนิมกับการเกิดสนิม
ปกติ Stainless
steel จะไม่เป็นสนิมเพราะที่ผิวของมันจะมีฟิล์มโครเมียมออกไซด์
บางๆเคลือบผิวอยู่อันเนื่องมาจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง Cr ใน Stainless steel กับ ออกซิเจนในอากาศ การทำให้ Stainless steel เป็นสนิมคือการถูกทำลายฟิล์มโครเมียมออกไซด์
ที่เคลือบผิวออกไปในสภาวะที่ Stainless steel สามารถเกิดสนิมได้
ก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเช่น ถ้าเหล็กกล้าไร้สนิมถูกทำให้เกิดรอยขีดข่วน
บริเวณรอยนั้นมีความชื้น ซึ่งเกิดปฏิกิริยากับธาตุเหล็กก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมา
จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดสนิมขึ้น
ขายปลีก ขายส่งไข ปลาวาฬ ขัด ส แตน เล ส
ประวัติเรื่องราวการคิดค้นผลิตเหล็กกล้าไร้สนิม stainless steel
ขายปลีก ขายส่งไข ปลาวาฬ ขัด ส แตน เล ส โลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักโลหะวิทยาฝรั่งเศส Pierre Berthier ในปี ค.ศ. 1821 พบว่าเมื่อโลหะผสมกับโครเมียมจะมีคุณสมบัติทนต่อการกัดกร่อนจากกรดบางชนิด โลหะผสมโครเมียมในยุคนั้นจึงมีความเปราะสูงมาก แม้ต่อมาในปี 1875 Brustlein ชาวฝรั่งเศส จะได้พบว่า จุดสำคัญของเหล็กกล้าโครเมียมต้องควบคุมปริมาณคาร์บอนให้ต่ำมากๆที่ประมาณ 0.15 % เทคโนโลยียุคนั้นก็ยังไม่สามารถผลิตโลหะที่มีคาร์บอนต่ำได้
ปี 1872 หลังการค้นพบของ Pierre Berthier กว่า 50 ปี มีชาวอังกฤษสองคนชื่อ
Woods
and Clark ได้จดสิทธิบัตรโลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนจากสภาพอากาศและกรดเป็นครั้งแรก
โดยประกอบด้วย โครเมียม 30-35 % และทังสเตน
1.5-2.0 %
โลหะทนต่อการกัดกร่อนมีการพัฒนาอย่างมากในยุคหลังศตวรรษที่
19 เมื่อ Hans Goldschmidt ชาวเยอรมัน
ได้พัฒนากระบวนการผลิตที่สามารถผลิตโลหะที่มีคาร์บอนต่ำได้ ในปี 1895
และหลังจากนั้นเพียง 10 ปี ก็มีนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Leon Guillet ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยโลหะผสม
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าคือเหล็กกล้าไร้สนิมกลุ่มเฟอร์ริติกบางชนิด
และออสเทนนิติกกลุ่ม 300
การผลิตโลหะทนต่อการกัดกร่อนในเชิงอุตสาหกรรมเริ่มต้นจริงๆ
ในปี 1908 เมื่อบริษัท Krupp Iron Works ของเยอรมนีได้นำเหล็กกล้าผสมโครเมียม-นิกเกิลมาผลิตเป็นตัวเรือเดินสมุทร
นอกจากนั้น บรัษัทยังได้พัฒนาเหล็กกล้าออสเทนนิติกด้วยส่วนผสม คาร์บอน < 1% นิกเกิล < 20% และ โครเมียม 15-40 % ระหว่างปี ค.ศ. 1912-1914
ในระหว่างปี 1904-1908
มีการศึกษาและเสนอผลงานวิจัยคิดค้นมากมาย ทั้งในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอมนี
โดยผลงานที่โดดเด่นได้แก่การตีพิมพ์ผลงานรายละเอียดของเหล็กกล้าผสมโครเมียม – นิกเกิลของ Giesen ชาวอังกฤษ
ผลงานการพัฒนาเหล็กกล้าผสมโครเมียมของ Portevin ชาวฝรั่งเศส และที่สำคัญที่สุดก็คือ
ผลงานของชาวเยอรมันสองท่าน P. Monnartz and W.
Borchers ที่ได้ค้นพบว่าเหล็กกล้าที่ทนต่อการกัดกร่อนต้องมีโครเมียมผสมอย่างน้อย
1.5 %
อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กกล้าทนการกัดกร่อน
เพื่อการค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีความรุ่งเรื่องอย่างมากในยุคเริ่มต้นอยู่ระหว่าง ปี
1911-1913 เริ่มที่ปี 1911 Elwood Haynes ชาวอเมริกันได้คิดค้นและผลิตมีดโกนหนวดไร้สนิมเป็นผลสำเร็จ
โดยมีส่วนผสมของโครเมียม 14-16 % และ
คาร์บอน 0.07-0.15 %
ในขณะที่ Harry
Brearley ชาวอังกฤษได้คิดค้นและผลิตลำกล้องปืนที่ทนต่อการกัดกร่อนเป็นผลสำเร็จด้วยส่วนผสมโครเมียม
6-15% คาร์บอน ประมาณ 0.2 %
นอกจากนี้ Harry Brearley ยังได้นำโลหะที่ค้นพบนี้ไปผลิตเป็น มีด กรรไกร
และเครื่องครัวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เขาได้ตั้งชื่อเหล็กกล้าที่ทนต่อการกัดกร่อนนี้ว่า
“Rustless
steel” ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อเป็น
คำว่า “stainless
steel” ด้วยคำแนะนำของ Ernest
Stuart เจ้าของโรงงานผลิตพวกเครื่องใช้คัดเตอร์ที่ดีกว่าในปี
1912 ต่อมาในปี 1913 ในงานแสดงนิทรรศการที่กรุงเวียนนา Max Mauermann ชาวโปแลนได้นำเสนอผลงานว่าเขาได้ผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี
1912
ประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิม
คนโดยทั่วไปจะไม่ทราบว่าเหล็กกล้าไร้สนิมมีกี่ประเภท
และมักจะมีการเข้าใจผิดว่าเหล็กกล้าไร้สนิมแท้ต้องแม่เหล็กดูดไม่ติด
แต่แท้จริงๆแล้วการที่แม่เหล็กจะดูดติดหรือไม่ติดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิม
เหล็กกล้าไร้สนิมแบ่งออกเป็นกลุ่มพื้นฐาน ได้ 5 กลุ่มคือ ออสเทนนิติค, เฟอริติค, ดูเพล็กซ์, มาร์เทนซิติก และ
กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยวิธีการตกผลึก
·
กลุ่ม Austenitic หรือเหล็กกล้าไร้สนิมตระกูล
300 เป็นเกรดที่ใช้งานแพร่หลายมากที่สุดถึง 70%
มีคุณสมบัติที่แม่เหล็กดูดไม่ติด (non – magnetic) มีส่วนผสมของโครเมียม 16%
คาร์บอนอย่างมากที่สุด 0.15% มีส่วนผสมของธาตุนิกเกิล 8%
เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติในการทำการประกอบ(Fabrication)และเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน เกรดที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและนิยมเรียก
18/8 คือการที่มีส่วนผสมของโครเมียม 18% และนิกเกิล 8%
·
กลุ่ม Ferritic แม่เหล็กดูดติด(magnetic) มีธาตุคาร์บอนผสมปริมาณที่ต่ำ
และมีโครเมียมเป็นธาตุผสมหลักที่สำคัญอาจอยู่ระหว่าง 10.5%-27%
และมีนิกเกิ้ลเป็นส่วนผสมอยู่น้อยมากหรือไม่มีเลย
·
กลุ่ม Martensitic แม่เหล็กดูดติด(magnetic) มีส่วนผสมของโครเมียม 12-14%
และมีธาตุคาร์บอนผสมอยู่ปานกลาง มีโมลิบดีนัมเป็นส่วนผสมอยู่ประมาณ 0.2-1%
ไม่มีนิกเกิล
เหล็กกล้าไร้สนิมตระกูลนี้สามารถปรับความแข็งได้โดยการให้ความร้อนแล้วทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว
(Quenching)และอบคืนตัว (Tempering) สามารถลดความแข็งได้ คล้ายกับเหล็กกล้าคาร์บอน
และพบการใช้งานที่สำคัญในการผลิตเครื่องตัด, อุตสาหกรรมเครื่องบินและงานวิศวกรรมทั่วไป
·
กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยการตกผลึก
(Precipitation
hardening)เกรดที่เป็นที่รู้จักในตระกูลนี้
คือ 17-4H ซึ่งมีส่วนผสมของโครเมียม 17% และนิกเกิล 4%
สามารถเพิ่มความแข็งแรงได้โดยกลไกเพิ่มความแข็งจากการตกผลึก (Precipitation hardening
mechanism) โดยสามารถเพิ่มความแข็งแรงสูงมาก
มีค่าความเค้นพิสูจน์ (Proof
stress) อยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 1,500
เมกาปาสคาล (MPa)
ขึ้นอยู่กับชนิดและกรรมวิธีปรับปรุงคุณสมบัติด้วยความร้อน
(Heat
treatment)
·
กลุ่ม Duplex มีโครงสร้างผสมระหว่าง
โครงสร้างเฟอริติค และออสเทนนิติค มีโครเมียมเป็นธาตุผสมอยู่ระหว่าง 19-28%
และโมลิบดินัมสูงกว่า 5% และมีนิกเกิลน้อยกว่าตระกูลออสเทนนิติค
พบว่ามีการใช้งานมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศแวดล้อมของคลอไรด์
ประโยชน์ของการใช้งานเหล็กกล้าไร้สนิม
·
ใช้ในสิ่งแวดล้อมที่กัดกร่อน
(Corrosive
Environment)
·
งานอุณหภูมิเย็นจัด
ป้องกันการแตกเปราะ
·
ใช้งานอุณหภูมิสูง
(High
temperature) ป้องกันการเกิดคราบออกไซด์
(scale)
และยังคงความแข็งแรง
·
มีความแข็งแรงสูงเมื่อเทียบกับมวล
(High
strength vs. mass)
·
งานที่ต้องการสุขอนามัย(Hygienic condition) ต้องการความสะอาดสูง
·
งานด้านสถาปัตยกรรม
(Aesthetic
appearance) ไม่เป็นสนิม
ไม่ต้องทาสี
·
ไม่ปนเปื้อน
(No
contamiation) ป้องกันการทำ
ปฏิกิริยากับสารเร่งปฏิกิริยา
·
ต้านทานการขัดถูแบบเปียก
(Wet
abrasion resistance)
ผิวของเหล็กกล้าไร้สนิม
No.1- รีดร้อนหรือรีดเย็น / อบอ่อน
หรือปรับปรุงด้วยความร้อน คราบออกไซด์ไม่ได้ขจัดออก /
ใช้งานในสภาพที่รีดออกมาโดยทั่วไปจะใช้งานที่ทนความร้อน
2D- สภาพผิว 2D หลังจากการรีดเย็นโดยลดความหนาลง
ผ่านการอบอ่อนและการกัดผิวโดยกรดลักษณะผิวสีเทาเงินเรียบ
2B- ผิว 2D ที่ผ่านลูกรีดขนาดใหญ่กดทับปรับความเรียบ
เพิ่มความเงาผิวเงาสะท้อนปานกลาง ผลิตโดยวิธีการรีดเย็น
ตามด้วยการอบนำอ่อนขจัดคราบออกไซด์ และนำไปรีดเบาๆ ผ่านไปยังลูกกลิ้งขัด
ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปของการรีดเย็น ผิวที่ได้ส่วนมากจะอยู่ในระดับ 2B
BA-ผ่านกระบวนการรีดเย็นโดยความหนาลดลงทีละน้อยๆ
ผ่านการอบอ่อนด้วยก๊าซไฮโดรเจน เพื่อป้องกันกันการออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ
ผิวมันเงา สะท้อนความเงาได้ดี ผิวผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าไร้สนิมจะกระทำด้วยวิธีนี้
ซึ่งจะมีเครื่องหมาย BA หรือ No.2BA, A ซึ่งผิวอบอ่อนเงา จะมีลักษณะเงากระจก
ซึ่งเริ่มต้นจากการรีดเย็น อบอ่อนในเตาควบคุมบรรยากาศ
ผิวเงาที่เห็นจะเป็นการขัดผิวด้วยลูกกลิ้งขัดผิว หรือเจียรนัยผิวตามเกรดที่ต้องการ
ผิวอบอ่อนเงาส่วนมากจะใช้กับงานสถาปัตยกรรม ที่ต้องการผิวสะท้อน
ผิวอบอ่อนสีน้ำนมจะไม่สะท้อนแสงเหมือนกับ No.8 จะใช้กับงานที่เป็นขอบ
ชิ้นส่วนทางสถาปัตยกรรม ภาชนะในครัว อุปกรณ์ในกระบวนการผลิตอาหาร
No.4, Hair Line- สภาพผิว 2B ที่ผ่านการจัดถูด้วยกระดาษทรายเบอร์
120-220 โดยค่าความหยาบขึ้นอยู่กับแรงกด, ขนาดของอนุภาคเม็ดทราย
และระยะเวลาการใช้งานของกระดาษทราย ผิว No.4 เป็นสภาพผิวที่สนองต่อการนำไปใช้งานทั่วไป
เช่นร้านอาหาร อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว อุปกรณ์รีดนม
No.8- สภาพผิว 2B, BA ขัดด้วยผ้าขัดอย่างละเอียดมากขั้นตามลำดับ เช่น
#1000, ผ้าขนสัตว์
โดยมีผงขัดอะลูมิเนียมและโครเมียมออกไซด์ ผิว No.8 ส่วนมากจะเป็นผิวเงาสะท้อนคล้ายกระจกเงา
ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเป็นเหล็กกล้าไร้สนิมชนิดแผ่นโดยผิวจะถูกขัดด้วยเครื่องขัดละเอียด
นำไปใช้กับงานตกแต่งทางด้านสถาปัตยกรรม และงานที่เน้นความสวยงาม
การกัดกร่อน
เหล็กกล้าไร้สนิมเป็นวัสดุที่ทนและต้านทานการกัดกร่อน
อย่างไรก็ตามมีเหล็กกล้าไร้สนิมหลายตระกูลที่สามารถต้านทานการกัดกร่อนได้ดีเลิศ
ในประเด็นการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งต้องเลือกไปใช้ในงานผลิตหรืองานประกอบโครงสร้าง
ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างระมัดระวัง
· การกัดกร่อนทั่วไป
(General
corrosion)
เป็นการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นตลอดทั่วผิวหน้า (Uniform attack) การกัดกร่อนแบบนี้มีอันตรายน้อยเพราะว่าสามารถวัด
และทำนายการกัดกร่อนที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้
การกัดกร่อนแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเหล็กกล้าไร้สนิมในสิ่งที่แวดล้อมที่มีผลต่อการกัดกร่อนในอัตราที่ต่ำมาก
·
การกัดกร่อนเนื่องจากความต่างศักย์ไฟฟ้า
(Galvanic
corrosion)
เป็นการกัดกร่อนที่เกิดจากโลหะ 2
ชนิดที่มีศักย์ทางไฟฟ้าแตกต่างกันมาอยู่ติดกัน
จุ่มอยู่ในสารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเดียวกัน
เหล็กกล้าไร้สนิมจะเป็นโลหะที่มีศักย์สูงกว่า ดังนั้นอัตราการกัดกร่อนแบบกัลวานิคมักจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นในเหล็กกล้าไร้สนิม
·
การกัดกร่อนแบบสึกกร่อนเนื่องจากการไหลของสารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง
(Erosion
corrosion)/การกัดกร่อนเนื่องจากการขัดถู
(Abrasion
corrosion)
การกัดกร่อนแบบ Erosion/abrasion เป็นปฏิกิริยาที่เกิดร่วมกันระหว่างการสึกหรอทางกลกับการกัดกร่อนจากสารละลาย
, ผงหรือเศษที่หลุดมาจากการขัดถู
จะแขวนลอยอยู่ในสารละลาย
และไหลด้วยความเร็วสูงจะทำให้ผิวหน้าสัมผัสมีอัตราการกัดกร่อนสูง
เหล็กกล้าไร้สนิมจะมีความต้านทานการกัดกร่อนแบบสึกกร่อนฯ
หรือแบบขัดถูสูงเนื่องจากมีฟิล์มถาวรที่ยึดแน่น
และสร้างทดแทนขึ้นที่ผิวหน้าสม่ำเสมอ
·
การกัดกร่อนตามขอบเกรน
(Intergranular
corrosion)
C. ทำให้ขอบเกรนมีปริมาณโครเมียมลดลง
มีความต้านทานการกัดกร่อนตามแนวขอบเกรนต่ำ แก้ไขโดยการเลือกใช้วัสดุเกรด “L” หรือ เกรดที่ช่วยให้โครงสร้างสถียร (Stabilized grade) และต้องระวังไม่ให้เกิดการกัดกร่อนตามขอบเกรนระหว่างการเชื่อมประกอบโครงสร้าง° - 850°การกัดกร่อนตามขอบเกรนเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการตกผลึกของโครเมียมคาร์ไบด์บริเวณขอบเกรน
ที่อุณหภูมิสูงประมาณ 450
·
การกัดกร่อนแบบสนิมขุม
(Pitting
corrosion)
การกัดแบบเป็นจุดหรือแบบสนิมขุมเป็นการกัดกร่อนเฉพาะที่เป็นอันตรายมาก
ซึ่งมีผลทำให้เกิดการกัดกร่อนที่ผิวหน้าเป็นรูเล็กๆ หรือเป็นรูทะลุตลอดเนื้อวัสดุ
แต่สามารถวัดการสูญเสียเนื้อวัสดุได้น้อย สิ่งแวดล้อมที่มีการกัดกร่อนแบบสนิมขุม
ส่วนมากจะเป็นสารละลายที่มีคลอไรด์ไออน (Chloride ion) จะเป็นตำแหน่งที่ฟิล์มถาวรจะถูกทำลายได้ง่ายที่สุดในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้
ควรจะเลือกใช้วัสดุด้วยความระมัดระวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสารละลายของกรดที่มีอุณหภูมิสูง
ถ้าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกัดกร่อนแบบสนิมขุมไม่สามารถแก้ไขได้ ให้แก้โดยการเลือกใช้โลหะผสมที่ต้านทานการกัดกร่อนสูงกว่า
เช่น เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดดูเพล็กซ์ และเกรดอื่นๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้
·
การกัดกร่อนในพื้นที่อับหรือถูกปกปิด
(Crevice
corrosion)
การกัดแบบนี้เกิดขึ้นที่ผิวหน้าส่วนที่ถูกปิด
หรือกดทับของเหล็กกล้าไร้สนิม มีผลทำให้ปิดกั้นออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นสร้างฟิล์มออกไซด์ได้
ทำให้ฟิล์มป้องกันมีแนวโน้มที่จะแตกหรือถูกทำลายลงในพื้นที่อับนี้
ดังนั้นในสภาวะการใช้งานต้องหลีกเลี่ยงการมีพื้นที่อับ
·
การกัดกร่อนในสภาพแวดล้อมที่มีจุลชีพ
(Microbiologically
Induced Corrosion : MIC)
การกัดกร่อนที่เป็นผลมาจากจุลชีพ
เกิดจากแบคทีเรียที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมเกาะติดที่ผิวหน้าของเหล็กกล้าไร้สนิมทำให้บริเวณนั้น
ปิดกั้นออกซิเจน ดังนั้นเงื่อนไขในการกัดกร่อนจึงคล้ายกับแบบ Crevice แบคทีเรียจึงทำให้สถานการณ์
การกัดกร่อนเลวร้ายลง
·
การแตกร้าวเนื่องจากการกัดกร่อนภายใต้แรงเค้น
(Stress
Corrosion Cracking : SCC)
SCC คือการแตกเปราะที่เริ่มต้นจากการกัดกร่อนในวัสดุที่มีความเหนียว
เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดออสเทนนิติกจะมีแนวโน้มที่จะเกิด SCC สูงกว่าเกรดเฟอร์ริติก, เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดเฟอร์ริติกจึงสามารถต้านทานการกัดกร่อนแบบ
SCC
ได้สูงกว่าเกรดออสเทนนิติก
เกร็ดความรู้ในการใช้เหล็กกล้าไร้สนิม
·
ค่าการนำความร้อน
(Thermal
conductivity)
เหล็กกล้าไร้สนิมทุกชนิดจะมีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าเหล็กกล้าคาร์บอนมาก
เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดที่มีส่วนผสมโครเมียมอย่างเดียว (plain chromium steel) มีค่าการนำความร้อน +_1/3 และเกรดออสเทนนิติกมีค่าการนำความร้อน +_1/4 ของเหล็กกล้าคาร์บอน
ทำให้มีผลต่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูง
เช่นมีผลต่อการควบคุมปริมาณความร้อนเข้าระหว่างการเชื่อม, ต้องให้ความร้อนเป็นระยะเวลานานขึ้น
เมื่อต้องทำงานขึ้นรูปร้อน
·
สัมประสิทธิ์การขยายตัว(Expansion coefficient)
เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดที่มีส่วนผสมโครเมียมอย่างเดียวมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวคล้ายกับเหล็กกล้าคาร์บอน
แต่เกรดออสเทนนิติกจะมีสัมประสิทธ์การขยายตัวสูงกว่าเหล็กกล้าคาร์บอน 1½ เท่า
การที่เหล็กกล้าไร้สนิมมีการขยายตัวสูงแต่มีค่าการนำความร้อนต่ำทำให้ต้องหามาตรการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียหายที่ตามมาเช่น
ใช้ปริมาณความร้อนในการเชื่อมต่ำ, กระจายความร้อนออกโดยใช้แท่งทองแดงรองหลัง, การจับยึดป้องกันการบิดงอ
ปัจจัยเหล่านี้ต้องพิจารณาการใช้งานร่วมกันของวัสดุ เช่นท่อแลกเปลี่ยนความร้อน (heat exchanger) ระหว่างเปลือกโครงสร้างเหล็กกล้าคาร์บอน
และท่อออสเทนนิติคเป็นต้น
·
ฟิล์มป้องกันและการสร้างฟิล์ม
(Passive
film)
เหล็กกล้าไร้สนิมจะมีฟิล์มบางๆ
ต้านทานการกัดกร่อน จำเป็นต้องรักษาความสมบูรณ์ของฟิล์มป้องกัน ดังนี้
·
หลีกเลี่ยงความเสียหายหรือการสัมผัสรุนแรงทางกล
·
ซ่อมปรับปรุงพื้นที่ที่มีผลต่อการเสียหายเช่น
บริเวณที่เกิดสะเก็ดหรือคราบออกไซด์เนื่องจากอุณหภูมิสูงใกล้ๆ แนวเชื่อม, บริเวณที่เกิดความเสียหายทางกลหรือมีการเจียระไน, มีการปนเปื้อนโดยวิธีการสร้างฟิล์มป้องกัน (passivation) อย่างเดียวหรือใช้ทั้งวิธีการแช่กรดเพื่อกำจัดคราบจากออกไซด์
(pickling)
หรือ
การแช่กรดหรือทาน้ำยาสร้างฟิล์มออกไซด์ (passivation) ที่ผิวเหล็กกล้าไร้สนิม
·
แน่ใจว่ามีออกซิเจนเพียงพอและสม่ำเสมอที่สร้างออกไซด์ที่ผิวของ
เหล็กกล้าไร้สนิมได้
·
การเสียหายที่ผิวเนื่องจากการเสียดสีที่ผิวโลหะกับโลหะอย่างรุนแรง
(Galling
/pick up / seizing)
ผิวหน้าเหล็กกล้าไร้สนิมมีแนวโน้มที่จะเกิดการเสียหายเนื่องจากการเสียดสีอย่างรุนแรง
ต้องหลีกเลี่ยงและระมัดระมัดระวัง
ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นดังกล่าวโดยสำหรับผิวหน้าที่มีการเสียดสีกันตลอดเวลา
ควรใช้ Load
หรือแรงเสียดสีต่ำสุด
และต้องแน่ใจว่าการเสียดสีไม่สร้างความร้อนเกิดขึ้น
ควรรักษาผิวสัมผัสไม่ให้มีการบดกับผงฝุ่น เม็ด ทรายฯลฯ
และใช้น้ำมันหล่อลื่นหรือเคลือบผิว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น